เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
มันให้ทานไง เราชาวพุทธให้ทาน เห็นไหม ทำบุญกุศล ทาน ทานบารมี ศีลบารมี บารมีสร้างสมมาให้ใจมันเข้มแข็งไง
เวลาร่างกายของเรา เห็นไหม ร่างกายของเราเรากินอะไรเข้าไปมันขับถ่าย สิ่งที่ขับถ่ายมันขับของเสียออกจากร่างกาย ร่างกายนั้นขับถ่ายสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ออกไป สิ่งที่เป็นประโยชน์มันจะเก็บไว้ให้ร่างกายเจริญเติบโตขึ้นมา หล่อเลี้ยงชีวิตของเราไปเพราะว่าสิ่งที่เอื้อด้วยอาหารของร่างกาย
หัวใจก็เหมือนกัน หัวใจเวลามันคิดเป็นกุศลอกุศลนี่ มันคิดขึ้นมาแล้วมันฝังลงไปที่หัวใจ สิ่งที่เป็นหัวใจ เห็นไหม ร่างกายขับถ่ายออกไปแล้วมันก็แล้วกันไป เพราะว่าธาตุ ๔ มันเกิดมาจากดินน้ำลมไฟ ส่วนผสมของไข่ของแม่กับเชื้อของพ่อ กับจิตปฏิสนธิแล้วปฏิสนธิเกิดขึ้นมาด้วยกรรม สิ่งที่มีกรรมทำให้ร่างกายเกิดขึ้นมาเป็นชีวิตของมนุษย์ เห็นไหม ได้ชีวิตหนึ่ง
ชีวิตนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ๙ เดือนนั้นใช้อาหารจากเลือดในอกของแม่เลี้ยงชีวิตขึ้นมา คลอดออกมาแล้วพ่อแม่ก็ต้องหาอาหารมาเลี้ยงชีวิตขึ้นมาจนกว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา แล้วก็ต้องเลี้ยงชีวิตด้วยตัวเอง เห็นไหม เลี้ยงชีวิตตัวเองจนถึงที่สุดแล้ว การขับถ่ายการหมุนเวียนในร่างกายนี้มันเป็นเรื่องของธาตุ แต่ความเป็นไป ความเป็นไปของใจ ใจต้องหล่อเลี้ยงในร่างกายนั้น เวลาคนเราเด็กก็ตายได้ คนผู้ใหญ่ก็ตายได้ คนแก่ก็ตายได้ ขณะที่ตายนั้นจิตปฏิสนธินั้นออกไปจากใจ
การขับถ่ายเรื่องของอาหาร เรื่องของสิ่งที่เป็นธาตุขันธ์ก็อยู่เฉพาะในโลกนี้ มันมีอยู่ในโลกนี้เกิดขึ้นมาแล้วก็ดำรงชีวิตไป การดำรงชีวิตขึ้นไปดำรงชีวิตด้วยบุญกุศลด้วยคุณงามความดี เอาตัวรอดให้ได้ สิ่งที่เอาตัวรอดได้พ้นออกไป เห็นไหม พ้นออกไปจากการเกิดและการตาย สิ่งที่การเกิดและการตาย ถ้ามีการเกิดขึ้นมาเท่าไหร่ ต้องมีการตายเท่านั้น แต่เราห่วงเรื่องการตาย การตายเราพยายามจะดำรงชีวิตไว้ สิ่งที่ดำรงชีวิตไว้ไม่อยากตาย อยากจะมีชีวิตยืนยาว สิ่งที่ยืนยาวคนถ้ามีความสุขเขาก็มีความยืนยาว คนเบื่อในชีวิต เห็นไหม จนทำลายชีวิตไป นั่นน่ะเกิดขึ้นมาจากความที่ว่าความผิดพลาดในหัวใจ การขับถ่ายสิ่งที่ไม่ดีในใจ ความคิดมันก็มี ธรรมเป็นกุศลและอกุศล สิ่งที่เป็นกุศลหล่อเลี้ยงใจ หล่อเลี้ยงใจให้ก้าวเดินไป
สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวะธรรมทั้งหลายมันเป็นอนัตตา คือมันเจริญงอกงามได้ ถ้าสัพเพ ธัมมา เป็นอัตตา เรามีทาน เราให้ทานขึ้นมาแล้วนี่ เรารักษาศีล เราจะเจริญจะภาวนาขึ้นมามันจะเจริญขึ้นมาได้อย่างไร ในเมื่อมันเป็นอัตตา มันเป็นสิ่งที่คงที่... มันเป็นอนัตตา อนัตตานี้มันเจริญงอกงามขึ้นไปได้ เพราะจิตเราพัฒนาได้ สิ่งที่พัฒนาขึ้นไป นั่นน่ะอาหารสิ่งที่เป็นประโยชน์กับหัวใจ สิ่งที่เป็นประโยชน์กับหัวใจนี่หล่อเลี้ยงหัวใจให้หัวใจพัฒนาขึ้นไป
นี่สัพเพ ธัมมา อนัตตา ให้มันเจริญขึ้นไป ธรรมมันเจริญขึ้นมางอกงามในหัวใจ จนถึงจุดหนึ่งมันจะเป็นอกุปปธรรม สิ่งที่เป็นอกุปปธรรม เห็นไหม การคงที่ของเขาคงที่แบบไม่เสื่อมจากข้างล่างขึ้นมา แต่มันจะเจริญงอกงามขึ้นไปให้เป็นสูงขึ้นไป เป็นชั้นไปตอนเข้าไป มรรค ๔ ผล ๔ จนถึงที่สุดหลุดพ้นออกไปจากกิเลสได้ สิ่งที่หลุดพ้นออกไปจากกิเลส นั่นน่ะมันถึงเป็นบุญกุศลไงกับเป็นบาปอกุศล เห็นไหม
ความไม่เชื่อ คนเกิดมาก็มีร่างกายเหมือนกัน มีจิตใจเหมือนกัน คนที่เชื่อบุญกุศลพยายามแสวงหาบุญกุศล เพื่อให้หัวใจมันพัฒนาขึ้นมา พัฒนาขึ้นมามันมีหลักของใจ เห็นไหม อาศัยร่างกายนี้อาศัยชีวิตหนึ่ง คนชั่วหรือคนดีก็มีชีวิตหนึ่งเหมือนกัน ชีวิตนี้มีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดาแล้วมีการตายเป็นธรรมดาในผู้ที่มีคุณงามความดีในหัวใจ
แต่ถ้ามีความชั่วในหัวใจ มันไม่ตายไปธรรมดาหรอก มันเกิดกรรมนิมิต เห็นไหม คนเราใกล้ตายมันก็มีกรรมนิมิตแล้ว นิมิตสิ่งที่ความน่ากลัว น่าเกลียดน่ากลัวในหัวใจแล้วตื่นเต้น คนเวลาตายนี่เวลาดีดดิ้นพยายามจะพ้นออกไปๆ มันเห็นความสภาวะแบบนั้น นั่นน่ะกรรม คนใดทำสิ่งใดไว้มันฝังลงที่หัวใจ เวลาเรื่องขับถ่ายของเสียในร่างกาย เห็นไหม ตายไป มันเรื่องของธาตุขันธ์ มันไม่มีชีวิตจิตใจหรอก มันอาศัยปฏิสนธิในจิตของเรานี้อาศัยดำรงอยู่ ถ้าสิ่งนี้ออกไป ธาตุขันธ์มันเป็นของที่ว่าไม่มีชีวิต มันก็ต้องเป็นไปตามสภาวะของมัน แต่ความตกผลึกของใจ ใจมันตกผลึกบุญกุศลและอกุศลทำให้เกิดกรรมนิมิต สิ่งที่ทำให้เกิดกรรมนิมิตนี่มันเป็นบาปอกุศล
สิ่งที่เป็นกุศล เห็นไหม ในพระไตรปิฎก คนทำบุญกุศลไว้มาก เวลาจะตายขึ้นมาเทวดานี่ สวรรค์นี้เปิดหมดเลยนะ จะไปชั้นไหนก็ได้ เปิดให้หมด นั้นเป็นการขับเคลื่อนสิ่งที่ว่าเป็นประโยชน์กับใจนั้น แต่สิ่งที่ว่าเป็นความมหัศจรรย์ของสิ่งต่างๆ ในโลกนี้คือเรื่องของสภาวะจิตที่มันเป็นอกุปปธรรมนี่ เจ้าชายสิทธัตถะไปศึกษาธรรมกับอาฬารดาบส ศึกษากับใครก็แล้วแต่ ทำความสงบของใจนี่เวิ้งว้างมีความสุขมาก ความสุขของเขานะ เพราะมันแสวงหามาได้ขนาดนั้น แต่เจ้าชายสิทธัตถะทำแล้วนี่เวลาหินมันทับหญ้าไว้ เวลาสมาธิมันเสื่อมขึ้นไปมันก็จะมีความทุกข์ใจขึ้นมา ความลังเลความข้องใจมันมีอยู่ สิ่งนี้มันฝังอยู่ แต่ถ้าปัญญาเข้าไปชำระ นี่ธรรมไง ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เองโดยชอบ สิ่งนี้มีอยู่แต่ลึกซึ้งมาก คนเข้าถึงไม่ได้ แล้วมันจะว่าเราถึงเป็นชาวพุทธ
เราเป็นชาวพุทธ เราสร้างสมของเราขึ้นมา เราฟังธรรมแล้วเรามีความศรัทธา ศรัทธาความเชื่อทำให้เราแสวงหา ความแสวงหาเราต้องทดสอบ เขาว่าวิทยาศาสตร์ไง ชีวิตนี้คืออะไร ตอบในทางวิทยาศาสตร์ ชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้คือการสสาร คือความเป็นไป ความคิดของวิทยาศาสตร์คิดได้ขนาดนั้น แต่ความคิดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ จิตนี้เกิดมาจากไหน ชีวิตนี้ดำรงมาได้อย่างไร วิทยาศาสตร์คิดได้เป็นวัตถุเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้
แต่เรื่องของใจนะ ลืมตาน่ะเราเห็นภาพ เราต้องลืมตา เราต้องทำความเข้าใจกับสิ่งต่างๆ เราถึงจะรู้สิ่งต่างๆ สิ่งต่างๆ คือทางวิทยาศาสตร์ ทางวัตถุ เราต้องมีสติ ต้องมีการทดสอบ มันต้องมีการทดสอบตลอดไป นั่นน่ะลืมตาขึ้นมาแล้ว สิ่งนี้เป็นวัตถุแล้วจะไม่เห็น แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ทำสัมมาสมาธิ เห็นไหม
หลับตา..หลับตาแล้วเวลาทำให้จิตสงบเข้ามา รื้อค้นสิ่งต่างๆ รื้อค้นสิ่งที่ว่ามันอยู่จิตใต้สำนึก สิ่งที่จิตใต้สำนึกกิเลสในหัวใจของเรา ชีวิตนี้มันมีสิ่งที่ขับเคลื่อนออกมาจากภวาสวะ ภพของใจไง จิตที่มีฐานแล้วมันขับเคลื่อนออกมา ความเหนี่ยวรั้งของใจ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก่อน พลังงานเกิดขึ้น พลังงาน จะมีพลังงานขับเคลื่อนไป รถต้องมีพลังงานของมัน ต้องมีน้ำมันต้องมีแหล่งพลังงานขับเคลื่อนของมันไป มันถึงไปของมันได้
อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีภวาสวะไม่มีฐานที่ว่าจิตให้มันขยับออกไปจากใจ ออกไปเคลื่อนไปเกาะเกี่ยว จิตปฏิสนธิจิตเป็นอย่างนี้ เป็นความรู้สึก แต่เป็นสสารอันหนึ่ง เป็นธาตุรู้ ธาตุ ๖ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุ ๖ นั้นมีอากาศธาตุกับธาตุความรู้อันนี้ เป็นภวาสวะเป็นภพอันหนึ่ง ภพอันนี้เกิดขึ้นมันมีพลังงานที่ขับเคลื่อน มันเกาะเกี่ยว เห็นไหม มันเป็นความมหัศจรรย์ มันเกิดเป็นเทวดาก็ได้ เกิดเป็นอินทร์ก็ได้ เกิดเป็นพรหมก็ได้ เกิดในนรก เกิดเป็นอสูรกาย เกิดเป็นต่างๆ แล้วแต่กรรมมันพาไป แล้วมันมาเกิดในครรภ์ของมารดาเป็นมนุษย์เราก็ได้ แล้วเกิดขึ้นมาแล้วชีวิตนี้เราขับเคลื่อนไป แล้วเราศึกษา เราเกิดมานี่ถึงเป็นอำนาจวาสนา
เราเกิดมาเราพบพระพุทธศาสนา คนเกิดในชาติอื่น เห็นไหม เดี๋ยวนี้เรื่องการสื่อสารมันเปลี่ยนไปเขารับรู้ได้ แต่ในสมัยพุทธกาลรับรู้ไม่ได้ กว่าจะรับรู้ได้ ดูอย่างศาสนามาสุวรรณภูมิ มาอย่างไร ส่งต่อกันมาสืบต่อกันมา แต่สมัยก่อนมันไปได้ยาก สมัยนี้ไปได้ง่าย คนถึงมา นี่เวลาพูดถึงทางยุโรปเขามีเหตุมีผล เขาศึกษาแล้วเขาถึงพยายามค้นคว้าไง ก็ทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทางโลกกับวิทยาศาสตร์ทางใจไง
วิทยาศาสตร์ทางใจ มันย้อนกลับเข้ามาแล้วมันต้องมีสัมมาสมาธิ มันต้องมีความเป็นไป มีสัมมาสมาธินะ มันจะเกิดเครื่องดำเนิน เห็นไหม เราจะทำอะไรก็แล้วแต่เรามีพิมพ์เขียว เราจะสร้างบ้านสร้างเรือนสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ ต้องมีพิมพ์เขียว ต้องมีส่วนประกอบของสิ่งที่เราจะใช้วัตถุสิ่งใด แล้วเราก็สั่งมาๆ เราประกอบขึ้นมาได้ถ้าเรามีเงิน
แต่ในการประพฤติปฏิบัตินั้น เราจะสั่งขึ้นมาไม่ได้ พิมพ์เขียวเราต้องหาขึ้นมา พิมพ์เขียวนี้คือว่าพระไตรปิฎก แล้วเกิดขึ้นมาในหัวใจขึ้นมา เราจะต้องแสวงหาหมดเลย หิน เหล็ก ทราย หิน ปูน ทุกอย่างที่จะก่อสร้างขึ้นมา สัมมาสมาธิเราต้องเกิดขึ้นมาเอง นี่สติต้องเกิดขึ้นมาเอง งานชอบต้องเกิดขึ้นมาเอง ความเพียรเกิดขึ้นมาจากในหัวใจ ถ้าเราแสวงหาสิ่งนี้
วัตถุเป็นทุน เห็นไหม ทุนเกิดขึ้นมาแล้วมันจะเกิดที่ว่าเราจะสร้างสมยกขึ้นวิปัสสนาได้ ทุนอันนี้เข้ามาทำลายหัวใจ นี่ความเป็นบุญกุศลกับเป็นอกุศล เห็นไหม สิ่งที่ขับถ่ายของกายนี้ เป็นวัตถุ เป็นของเสีย สิ่งที่หัวใจมันมีธรรมขึ้นมามันขับถ่ายสิ่งที่เป็นอกุศล สิ่งที่เราไม่รู้ สิ่งที่เป็นอวิชชา สิ่งที่เราเผลอไง ในหัวใจนี่เรารักสิ่งใดเราชอบสิ่งใด มันเกาะเกี่ยวสิ่งนั้น แล้วเราก็ไม่สามารถชนะมันได้เลย อันนี้มันจะเข้าไปทำลาย สิ่งที่จะทำลายขึ้นมา ของดีและของเสียข้างนอกอย่างหนึ่ง ของดีและของเสียจากภายในหัวใจอย่างหนึ่ง สิ่งนี้ก้าวเดินขึ้นไป มรรค ๔ ผล ๔ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค มรรคนี้เป็นขับถ่ายของเสีย เห็นไหม แล้วจะออกไปจากพวกสังโยชน์หลุดออกไปจากใจ ถึงเป็นผล แล้วผลอันนี้เป็นผลคงที่ไง เป็นอกุปปธรรมไง
อกุปปะคือความคงที่ของใจขึ้นไป ศาสนาสำคัญอย่างนี้ มีความยอดเยี่ยมอย่างนี้ แล้วเราทำของเราขึ้นมาได้ในหัวใจของเรา มันหาได้จากใจของเรา งานของใจไง ทำงานของใจ เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเป็นงานละเอียดมาก คนมองไม่เห็น เห็นไปทำงานของโลก การสะสมโลกนั้นเป็นประโยชน์ของเขา แต่ไม่เคยเห็นคนเอาชนะตนเองได้เลย ตนเอาชนะตนได้อันนี้ประเสริฐที่สุด เอวัง